Education Technology กับการยกระดับการศึกษาของไทย


ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้เทคโนโลยีทั้งเครือข่ายการสื่อสารผ่านดาวเทียม อินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ ล้วนมีบทบาทในชีวิตคนเรามากขึ้น ทว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเป็นประโยชน์และแก้ไขปัญหาของประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ธานินทร์ ทิมทอง และเพื่อน เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยลดปัญหาด้านคุณภาพ และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ที่นำเทคโนโลยีเข้าไปสู่ระบบการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล ช่วยสร้างคุณภาพทางการศึกษาของเด็ก ๆ จากกลุ่มเล็ก ๆ ขยายขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้มีโรงเรียน 160 แห่ง ใน 44 จังหวัดทั่วประเทศ ได้เรียนผ่านระบบดิจิทัลคอนเทนต์ ของเลิร์น เอ็ดดูเคชั่น
ปัญหาการศึกษาอยู่ที่ใคร?
“ช่วงประมาณปี 2554 มีแต่คนบ่นว่าการศึกษาในประเทศเราแย่ สู้ใครก็ไม่ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น” เราอยากเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ชมมาเป็นคนลงมือทำเกี่ยวกับสถานการณ์การศึกษาไทยเราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา แต่เราลงไปคลุกคลีกับโรงเรียนเยอะมาก เป็นหลักร้อยแห่ง โรงเรียนมีบาดแผลอะไร มีความท้าทายอะไรที่เขาเผชิญอยู่ แล้วเขาอยากได้รับการสนับสนุนอะไรบ้าง
“พอลงไป เราเจอปัญหาซ้อนปัญหา 2 เรื่อง ระหว่างคุณภาพการศึกษาและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนในต่างจังหวัด ภาพที่คุ้นตาโรงเรียนในต่างจังหวัด ครูหนึ่งท่านสอนหลายวิชา และสอนในหลายระดับชั้น นั้นหมายความว่า ไม่ว่าครูท่านนั้นจะจบอะไรมาก็ตาม จะมีในบางวิชาที่ท่านสอนได้ไม่เต็มคุณภาพ เพราะขาดความเชี่ยวชาญ แต่ด้วยความจำเป็นและหัวจิตหัวใจเต็มไปด้วยความเป็นครู จึงทำให้ครูหลายท่านยังต้องสอนหลายวิชาอย่างที่เราเห็น
“หลายคนมักพูดว่าที่การศึกษาไม่ดี เป็นเพราะครู แต่สิ่งที่ผมอยากบอกคือ ครูส่วนใหญ่เป็นครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู เขาถึงมาทำอาชีพนี้ แต่ปัจจุบันครูยังขาดปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เยอะมาก ทั้งเครื่องมือ เทคโนโลยี สื่อการเรียนการสอน ที่จะช่วยให้ครูพัฒนาอนาคตของชาติได้อย่างเต็มที่
“เมื่อก่อน ถ้าจะพัฒนาโรงเรียนต้องพัฒนาครู ต้องหาครูเก่ง ๆ ไปสอนให้มากเพียงพอกับปริมาณเด็ก โรงเรียนไหนโชคดีหน่อยได้ตามนี้ก็จะมีมาตรฐานสูง ในขณะที่บางโรงเรียนที่มีครูเก่ง แต่มีครูอยู่ 5 – 6 คน ครูก็ดูแลเด็กเต็มไปหมด หรือหาครูที่มีความเชี่ยวชาญได้น้อย ทำให้จัดการศึกษาลำบาก”
จัดการเรียนการสอนด้วยดิจิทัลคอนเทนต์
หลังจากวิเคราะห์ปัญหาในระดับหนึ่งแล้ว คุณธานินทร์และทีมงานจึงคิดว่าจะหาอะไรมาช่วยสนับสนุนระบบการศึกษาได้บ้าง ทั้งเครื่องมือ และระบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม จึงเป็นที่มาของการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ รวมถึงแพลตฟอร์มแผนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพื่อให้มีความน่าสนใจและน่าสนุกยิ่งขึ้นสำหรับเด็กด้วย ที่สำคัญยังสามารถใช้งานได้ในพื้นที่ที่ห่างไกล
“เราคุยกับคุณครูว่านอกจากดิจิทัลคอนเทนต์แล้วต้องการอะไรเพิ่มอีกบ้าง สิ่งที่ครูบอกเรามา คือ เขาอยากได้แผนการสอน อยากได้เครื่องมือที่ช่วยให้เขาวัดประเมินเด็ก คำว่าวัดประเมินในความหมายของครู คือ สามารถเห็นพัฒนาการของเด็ก เด็กคนไหนที่พัฒนาการยังไม่ถึงเกณฑ์ครูจะช่วยเข้าไปดูแลได้ถูก
“พอผมฟังแล้วก็เกิดความคิดว่าต้องทำ Learning Platform ควบคู่ไปกับตัวดิจิทัลคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ถึงจะประกอบภาพในห้องเรียนได้สมบูรณ์มากขึ้น พอทำตรงนี้ เราใช้เวลาทำวิจัยเก็บข้อมูลที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี 1 ปี ผลที่ได้คือเด็กที่ได้เรียนกับระบบเรียนของเรามีคะแนนเพิ่มสูงขึ้น เราจึงลองใช้คอนเทนต์และแพลตฟอร์มนี้กับโรงเรียนอื่นที่มีความท้าทายไม่แพ้กัน คือโรงเรียนเอกชนสงเคราะห์ นักเรียนเป็นเด็กชาวเขา ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
“โรงเรียนนี้อยู่ห่างจากสนามบิน 80 กิโลเมตร แต่เดินทาง 3 ชั่วโมง โรงเรียนต้องปั่นไฟเรียน และไม่มีครูสอนชั้นมัธยม ถ้าไม่ไปช่วยตอนนั้น เขาเปิดชั้นมัธยมไม่ได้ เด็กชาวเขาตรงนั้นก็จะได้เรียนแค่ ป. 6 พอเราเข้าไปทำ อีกสิ่งที่เห็น คือ เมื่อมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆเข้าไป ตาเด็กเขาจะเป็นประกาย เพราะสิ่งที่เคยไกลตัวเขาไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวอีกต่อไป พวกเขาตั้งใจเรียนมาก จนบางครั้งเราก็ประหลาดใจว่าคะแนนสอบท้ายภาคของเด็กมีคะแนนดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
“จากนั้น เราก็ขยายโรงเรียนขึ้นเรื่อย ๆ จาก 5 โรงเรียน เป็น 15 โรงเรียน ตอนนั้นที่อยากทำ อยากทำเรื่องคุณภาพกับความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว เราเริ่มขยายโรงเรียนที่เราช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่โรงเรียนชาวเขา เป็นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ รวมถึงโรงเรียนปริยัติธรรม วัดสวนดอก ที่ให้เณรมาบวชเรียน
“ตอนนี้มีโรงเรียนที่ใช้ระบบของเรา 160 โรงเรียนทั่วประเทศ ใน 44 จังหวัด ในกรุงเทพฯ มี 2 – 3 โรงเรียน ที่เหลือเป็นต่างจังหวัด เพราะภารกิจเราต้องการให้คุณภาพการศึกษาดี และต่างจังหวัดเป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่า มีเด็กประมาณ 45,000 คนที่ใช้โซลูชั่นนี้อยู่ ภาคที่เยอะสุดน่าจะเป็นภาคอีสาน เหนือ กลางและใต้ ตามลำดับ”
เทคโนโลยีดีไซน์เพื่อการศึกษา
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า แล้วการเรียนการสอนที่ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านเลิร์น เอ็ดดูเคชั่นเป็นอย่างไร คุณธานินทร์ได้อธิบายว่า “ตัวอย่างชั่วโมงคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วนและทศนิยม เมื่อเริ่มชั่วโมงเรียน เด็กนั่งอยู่โต๊ะมีคอมพิวเตอร์อยู่เต็มห้อง ครูจะเป็นผู้พูดเปิดบทเรียน บอกวัตถุประสงค์การเรียนในบทนั้นๆ ว่าสำคัญอย่างไร จากนั้นเด็กจะเรียนผ่านคอนเทนต์ในคอมพิวเตอร์ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์คอนเทนต์ยาวแค่ 15 นาที เพราะเรารู้ว่าการที่เด็กเรียนต่อยาว ๆ ความสนใจเขาจะน้อยลง
“ระหว่างเรียน เด็กจะใส่หูฟัง ดูคลิปวีดีโอเนื้อหาการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์แบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งเด็กทุกคนสามารถปรับระดับความเร็วในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แก้ปัญหาการเรียนไม่ทันเพื่อนของเด็กหัวอ่อน ครูทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เป็น Facilitator เป็น Mentor คอยสอดส่องดูพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน คนไหนจดไม่ทัน ครูสามารถอธิบายเป็นรายบุคคลได้ทันที เด็กที่เรียนรู้ได้ช้าจะถูกสนับสนุนมากขึ้น เด็กที่ไม่เข้าใจจะกล้ายกมือถามมากขึ้น พอผ่าน 15 นาทีนั้น ครูจะอธิบายในสิ่งที่เด็กไม่เข้าใจเพิ่ม และให้ทำแบบฝึกหัด 5 ข้อ ผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งเด็กลอกกันไม่ได้ เพราะใช้วิธีสุ่มเลือกโจทย์ พอเด็กทำเสร็จ ข้อมูลจะส่งไปเครื่องคอมพิวเตอร์ของครู วิเคราะห์ว่าเด็กได้มีคะแนนเฉลี่ยเท่าไร มีเด็กกี่เปอร์เซ็นต์คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐาน ถ้าคะแนนสูงก็ไปสอนเรื่องต่อไป แต่ถ้าครูประเมินแล้วว่าเด็กไม่เข้าใจหัวข้อนี้ และในระบบจะประเมินให้ด้วยว่าเด็กผิดหัวข้ออะไร ครูก็สามารถอธิบายซ้ำได้ และมีการทดสอบอีกครั้งและสรุปผลอีกครั้ง
“การออกแบบการเรียนการสอนของเรา ไม่ได้บังคับว่าเด็กต้องเรียนกับระบบทุกคาบ ใน 4 คาบ อาจเรียนกับระบบ 2 คาบ อีก 2 คาบเรียนกับครู แบบนี้ครูก็จะออกแบบได้ว่าชั่วโมงที่เหลือจะมีการเรียนการสอนอย่างไร ซึ่งต่างจากเดิมที่ครูต้องสอนเองทั้งหมด สิ่งที่เราต้องไม่ลืม คือเทคโนโลยีเป็นเครื่องเอื้อประโยชน์และเป็นเครื่องมือก็จริง แต่ก็เป็นความท้าทายกับคนที่อยู่ในระบบเดิมด้วย จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบเรียนของเราเข้าไปอบรมครูว่าต้องทำอย่างไร เราพยายามทำระบบที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป เพื่อให้ครูและนักเรียนใช้งานง่ายและเกิดประโยชน์ที่สุด”
รูปแบบการสอน ครู + เทคโนโลยี
“ผมมองว่า ‘เทคโนโลยีเป็นทั้งแรงเสริมและความท้าทาย’ ผมพูดเรื่องความท้าทายก่อน ถามว่าการศึกษาในบ้านเราต้องแข่งกับอะไร คำตอบคือ การศึกษาไม่ได้แข่งกันระหว่างโรงเรียน แต่การศึกษาในภาพรวมกำลังแข่งกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพราะเทคโนโลยีทำให้คอนเทนต์ต่าง ๆ กระจายไปได้หมด แล้วธรรมชาติของคนก็จะวิ่งเข้าหาสิ่งที่เติมเต็มอารมณ์ สบายใจ สนุก น่าสนใจก่อนเสมอ
“เทคโนโลยีช่วยเอื้อให้ความรู้มีความหลากหลายขึ้น มีคุณภาพสูงขึ้นในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับโลกยุคถัดไป ไม่ใช่แข่งกันที่ความรู้ แต่แข่งที่ทักษะมากขึ้น ครูควรเปลี่ยนบทบาทตนเองจากให้ความรู้ เป็นกระตุ้นความรู้ และการคิดให้กับเด็ก เมื่อมีเทคโนโลยีเข้าไป ครูจะสามารถทำบทบาทตรงนี้ได้ง่ายมากขึ้น ได้สมบูรณ์มากขึ้น ไม่ต้องพะวงกับการสอนเหมือนที่เคยเป็นมา
ความท้าทายของการศึกษาในอนาคต
“คำถามเรื่องนี้ ผมต้องขอย้อนกลับไปดูคำนิยามว่า การศึกษาคืออะไร การศึกษาคือการสร้างคนดี คนเก่ง คนที่มีความสุข หรือคนที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าสำหรับผม การสร้างคนดีในอนาคตคือ ต้องทำให้ชีวิตคนดีขึ้น และสังคมดีขึ้น ถ้าโจทย์เป็นแบบนี้ แล้วโยงไปข้างหน้า สิ่งที่ท้าทายที่สุด โลกจะเปลี่ยนเร็วมาก จนสิ่งที่เป็นกรอบเดิมที่เราเคยประสบมา อาจไม่มีอยู่จริงอีกแล้ว
“เด็กคนหนึ่งอาจต้องทำ 3 – 4 อาชีพ จนกว่าจะทำงานไม่ไหว จนกว่าจะเกษียณ เด็กต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ดังนั้น ผมว่าความท้าทายที่สุด มีอยู่ 2 ระดับ เราต้องทำให้ทิศทางการศึกษาในบ้านเรา ทำให้คนมีทั้งความรู้ ทักษะ คิดเป็น เพื่อที่ในอนาคตไม่ว่าเขาจะเจออะไร เขาสามารถรับกับความเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือความท้าทายในวันนี้ที่ต้องรีบทำ ยิ่งช้าก็ยิ่งไม่ทัน
“แต่ถ้ามองไปอีกในอนาคต ผมมองภาพว่า แต่ละเจนเนอเรชั่นจะถูกหล่อหลอมด้วยปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในที่แตกต่างกัน คนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้การหาความสุขและความหมายของชีวิตให้เจอ มันลึกกว่าที่เราเคยเจอมา อย่างเช่น เด็กบางคนมีทักษะ หรือ Skill มาก ๆ มีพรสวรรค์มาก ๆ เรื่องดนตรี เรื่องกีฬา หรืออื่น ๆ ถ้าเขาได้เรียน ได้ทำในสิ่งที่เขามีความสุข และมีความหมายกับเขา ผมว่าแบบนี้จะตอบโจทย์การศึกษาจริงๆ
“การศึกษาในอนาคต ต้องเตรียม 2 เรื่อง หนึ่ง คือ Mindfulness ทำอย่างไรให้คนเข้าใจตัวเอง และสอง คือ เห็นทางเลือกที่มีอยู่ในอนาคต”
ภาคการเงินกับการศึกษา
“ความรู้ทางการเงินเป็น Essential Skill เป็นความรู้ที่ทุกคนต้องมี ไม่ใช่เฉพาะคนที่จบการเงินมา แต่ในปัจจุบันในประเทศเรา คนส่วนมากไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ทุกวันนี้มีเทคโนโลยี มีความคล่องตัว เป็นไปได้ไหมที่เราจะเชื่อมต่อความรู้ทางการเงินต่าง ๆ เข้าไปในวิชาพื้นฐาน
“ผมยกตัวอย่าง ทำไมเราไม่สอนเรื่องการออมแทรกเข้าไปในวิชาคณิตศาสตร์ ทำไมเราไม่สอนเรื่องหน้าที่การเสียภาษีเข้าไปในวิชาสังคม พวกนี้เป็นหน้าที่ที่เราควรทำ ไม่ใช่ภาระ หรือแม้กระทั่งการสอนศัพท์เทคนิคทางการเงินเข้าไปในวิชาภาษาไทย หรือ ภาษาอังกฤษ เมื่อเด็กเจอศัพท์เหล่านี้ข้างนอกหรือตามสื่อต่างๆก็จะมีความเข้าใจและรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป พอเป็นแบบนี้จะทำให้มันแทรกซึมเข้าไปได้”
คุณภาพชีวิตที่ดีกับการแบ่งปันเพื่อสังคม
“การศึกษากับคุณภาพชีวิตต้องไปควบคู่ด้วยกัน คุณภาพชีวิตอย่างเดียวมันไม่พอ องค์ประกอบที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เรื่องหนี้ครัวเรือน เรื่องหนี้การใช้จ่ายไม่ระวัง ทั้งหมดนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น โดยพื้นฐานเลย คือ ให้เด็กรู้ว่าเงินไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ เขาควรแบ่งกองใช้อย่างเหมาะสม จะมีประโยชน์ทั้งตัวเขาเอง ครอบครัว และสังคม
“ความเชื่อของผม ผมเชื่อเรื่องการมีส่วนร่วมของทุกคนในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน สถาบันครอบครัว องค์กรทั้งรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เป็น Role Model ที่ดีในการเสริมความรู้การเงิน ทำอย่างไรที่เราจะสร้างหนทางร่วมกันว่าคนแต่ละช่วงอายุต้องเจอความท้าทายเรื่องการเงินอะไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรไว้ก่อน เพื่อในอนาคต เขาจะได้เข้าใจ และตอบสนองอย่างเหมาะสม
“มิติเรื่องการเงิน ผมอยากให้มองทั้งเรื่องการหา การใช้ และการช่วยเหลือผู้อื่น เงินเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สร้างในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะผ่านกลไกทางภาษี หรือกลไกการไปช่วยคนที่เขาอยากช่วย พอเป็นแบบนี้จะเป็นการต่อจิ๊กซอร์ชีวิตให้กับคนบางคนได้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสำเร็จ มีเงิน และตาย แต่เกิดมาแล้วเราใช้กลไกส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น ให้กับสังคม”

Click ! BOT พระสยาม MAGAZINE ฉบับที่ 3/2562

ขอบคุณข้อมูลจาก :  BOT พระสยาม Magazine